เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการวิจัยในห้องปฏิบัติการ และการทดลอง ในด้านการรักษาด้วยเซลล์ในจักษุวิทยา ซึ่งเป็นสาขา ที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัย และรักษาความผิดปกติของดวงตา ซึ่งมีผลที่น่าทึ่งเกี่ยวกับการรักษาดวงตา สำหรับคนที่เป็นต้อกระจก
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการวิจัยในห้องปฏิบัติการ และการทดลอง ในด้านการรักษาด้วยเซลล์ในจักษุวิทยา ซึ่งเป็นสาขา ที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัย และรักษาความผิดปกติของดวงตา ซึ่งมีผลที่น่าทึ่งเกี่ยวกับการรักษาดวงตา สำหรับคนที่เป็นต้อกระจก
กระจกตาปกติของคนเราจะใส และมีผิวเรียบ ทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน การที่กระจกตาสามารถคงความใสอยู่ได้นั้นขึ้นกับหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ ผิวกระจกตา จะต้องไม่มีแผล ไม่มีเส้นเลือดรุกเข้ามา ตัวการสำคัญที่ทำหน้าที่นี้คือ สเต็มเซลล์ของผิวกระจกตา
มารู้จักสเต็มเซลล์ของผิวกระจกตา
สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) หรือ เซลล์บำบัด เซลล์ต้นตอ เซลล์เม็ดเลือด เซลล์ต้นกำเนิด ของผิวกระจกตา คือเซลล์ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนโรงงานคอยสร้างเซลล์ ผิวกระจกตาขึ้นมาทดแทนเซลล์เก่าที่ตายไปตลอดเวลา ทำให้ผิวกระจกตาคงความใส และ ไม่เป็นแผล ตลอดจนทำหน้าที่เสมือนเขื่อนป้องกัน ไม่ให้เส้นเลือด จากเยื่อตาโตรุกเข้ามาในกระจกตาได้
ผลเสียของสเต็มเซลล์เสื่อมหรือตายไป
หาก สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) เสื่อม หรือตายไป จะเกิดภาวะผิวกระจกตาเสื่อม ซึ่งทำให้มีเส้นเลือดงอกเข้ามาในกระจกตา กระจกตาจะขุ่น ตามัวลง และ มีแผลถลอกเกิดขึ้นบ่อยที่กระจกตา ซึ่งแผลอาจหายยากหรือไม่หาย ทำให้กระจกตาติดเชื้อได้ง่าย
พบได้ในโรคใด
ภาวะนี้พบได้ในโรคต้อเนื้อ โรคแพ้อย่างรุนแรง เช่น โรค Steven-Johnson รวมทั้งตาที่ได้รับอันตรายจากสารเคมี เช่น กรด – ด่างเข้าตา การติดเชื้อที่กระจกตา หรือตาที่ได้รับการผ่าตัดหลาย ๆ ครั้ง เป็นต้น
การรักษาทำอย่างไรได้บ้าง
ภาวะผิวกระจกตาเสื่อมนี้ เป็นภาวะที่รักษายาก หากเป็นน้อย อาจระวังไม่ให้เซลล์ที่เหลืออยู่ตายมากขึ้น โดยระมัดระวังในการใช้ยาหยอดตา และหยอดน้ำตาเทียมหล่อลื่นแทน หากเป็นรอบกระจกตา การรักษาจำเป็นต้องทำการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ของผิวกระจกตา ไม่สามารถใช้การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาตามปกติได้ เนื่องจากกระจกตาที่นำมาเปลี่ยนจะกลับขุ่นใหม่อย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีสเต็มเซลล์ การปลูกถ่าย สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) ของผิวกระจกตา เราจะใช้สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) จากเนื้อเยื่อส่วนที่เป็นรอยต่อของตาดำกับตาขาวมาปลูกถ่ายโดยตรง ซึ่งเนื้อเยื่อที่ใช้ หากผู้ป่วยเป็นโรคในตาข้างเดียว และตาอีกข้างปกติอยู่ จะใช้เซลล์จากตาดีของผู้ป่วยปลูกถ่าย แต่หากเป็นโรคในตาทั้ง 2 ข้าง ก็มีจำเป็นที่ต้องใช้สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) จากญาติพี่น้องที่มีสายตรงก่อน หรือจากตาของผู้เสียชีวิตแล้วที่บริจาคไว้กับศูนย์ดวงตา
ปัญหาที่พบบ่อย ในการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์
จากการผ่าตัดปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ทั้ง 2 ชนิดนี้มากว่า 12 ปี ปัญหาการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากตาดีของผู้ป่วยเอง หรือ จากญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ เราพบว่าปริมาณเซลล์ที่นำมาจากตาข้างดีนั้นจะมีปริมาณน้อย เนื่องจากเกรงว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นกับตาดีนั้น ดังนั้นเซลล์ที่ปลูกถ่ายจึงไม่เพียงพอที่จะป้องกันพังผืดที่จะรุกเข้ากระจกตาได้ในระยะยาว และ ในกรณีผู้ป่วยที่เป็นโรคในตาทั้ง 2 ข้างที่ต้องนำเซลล์ผู้อื่นมาปลูกถ่าย โอกาสเกิดปฏิกิริยาต่อต้านต่อสเต็มเซลล์นั้นมีได้สูง เนื่องจากเซลล์ที่นำมาปลูกถ่ายมิใช่ของผู้ป่วยเอง จำเป็นต้องให้ยากดภูมิคุ้มกันรับประทานเป็นระยะเวลานาน หรือตลอดชีวิต ทำให้ผลการรักษาไม่ดีนัก และ เสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากยากดภูมิสูง อาจเกิดการติดเชื้อได้ง่ายอีกทั้งยามีราคาสูงมาก
ทางเลือกใหม่ของการรักษา
จากปัญหาดังกล่าว ปัจจุบันจึงมีการค้นคว้าหาวิธีใหม่ในการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ของผิวกระจกตา โดยนำสเต็มเซลล์ไปเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการก่อนนำไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วยเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ก่อนการปลูกถ่ายและลดโอกาสการเกิดปฏิกิริยาต่อต้านเนื้อเยื่อ ซึ่งวิธีนี้มีรายงานทางการแพทย์ว่า ในปี 1997 ประเทศอิตาลี เป็นประเทศแรกที่ใช้รักษา โดย Dr.Pellegrini ต่อมาวิธีนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้นจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศอิตาลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และอินเดียว่า เป็นมาตรฐานหนึ่งในการรักษาภาวะการเสื่อมของผิวกระจกตา โดยใช้ระยะเวลาในการติดตามผล 1 – 4 ปี พบว่าวิธีนี้ประสบความสำเร็จสูงถึง 75%
การเลี้ยง สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) จะนำเนื้อเยื่อบริเวณรอยต่อของตาดำและตาขาว ซึ่งมีสเต็มเซลล์อยู่ไปเลี้ยงบนเยื่อรกในห้องปฏิบัติการที่ปลอดเชื้อประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ จากเซลล์ขนาด 2 X 2 มม. ให้โตเพิ่มปริมาณขึ้นเป็น 20 X 20 มม. จากนั้นจึงนำเยื่อรกที่มีสเต็มเซลล์อยู่บนผิวมาปลูกถ่ายกลับลงบนผิวกระจกตา
ข้อดีของการเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ก่อนการปลูกถ่ายให้เพียงพอแก่ความต้องการ และ คลุมผิวกระจกตาได้ทั้งหมด อีกทั้งลดอันตรายต่อตาข้างที่ดีของผู้ป่วย หรือ ญาติที่จะต้องนำสเต็มเซลล์มาใช้ เท่ากับเพิ่มโอกาสในการปลูกถ่ายโดยใช้เซลล์ของตนเองได้มากขึ้น ลดความเสี่ยง และ ลดงบประมาณในการใช้ยากดภูมิซึ่งมีราคาแพง นอกจากนี้ในกรณี สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) จากผู้อื่น ยังทำให้โอกาสการเกิดปฏิกิริยาต่อต้านต่ำกว่า และ ปริมาณการรับประทานยากดภูมิต้านทานก็น้อยกว่าการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์แบบดั้งเดิม เนื่องจากเซลล์ที่นำมาปลูกถ่ายมีเพียงเซลล์ผิวชั้นเดียวเท่านั้น ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยความร่วมมือของภาควิชาจักษุวิทยา ภาควิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน ภาควิชาพยาธิวิทยา และ ศูนย์เนื้อเยื่อชีวภาพกรุงเทพฯ ได้ทำการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) ของผิวกระจกตาในห้องปฎิบัติการ บนเยื่อรกโดยวิธีปลอดเชื้อในห้องปฎิบัติการที่ได้มาตรฐานสูง โดยเซลล์ที่เพาะเลี้ยงได้นั้นมีการตรวจสอบพิสูจน์ทางพยาธิวิทยาว่าเป็นสเต็มเซลล์ของผิวกระจกตาจริง และได้ปลูกถ่ายกลับให้ผู้ป่วยแล้วเป็นผลสำเร็จทั้งสิ้น 5 ราย เป็นเซลล์จากผู้บริจาค 2 ราย เซลล์ของผู้ป่วยเอง 2 ราย และ เซลล์จากญาติ 1 ราย ระยะเวลาติดตามผลเฉลี่ย 4 เดือน ( 1 – 6 เดือน) พบว่าหลังผ่าตัดเซลล์ผิวกระจกตาติดดีตั้งแต่วันแรก และยังคงสภาพอยู่ได้ไม่หลุดลอก เส้นเลือดที่กระจกตาลดลง การอักเสบในตาลดลง กระจกตาเริ่มใสขึ้นและการมองเห็นเริ่มดีขึ้น สำหรับผู้ป่วยที่เนื้อกระจกตาขุ่นในชั้นลึก หลังจากทำผ่าตัดปลูกถ่ายสเต็มเซลล์แล้ว จะต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาเพื่อการมองเห็นต่อไปในอนาคต เท่ากับเป็น การเตรียมความพร้อมและเพิ่มโอกาสให้การผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาประสบความสำเร็จสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามโอกาสการรักษาจะประสบความสำเร็จขึ้นกับสภาพดวงตา และโรคของผู้ป่วย ดังนั้นก่อนผ่าตัดจึงจำเป็นต้องคัดกรองผู้ป่วยที่มีสภาวะเหมาะสม อีกทั้งการรักษานี้ยังจำเป็นต้องมีการติดตามผลการรักษาในระยะยาวด้วย
1. ผู้ป่วยโรคสตีเวนส์ จอห์นสัน เป็นผู้ป่วยรายแรกในประเทศไทยที่ทำการรักษาด้วยการปลูกถ่าย สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) ของผิวกระจกตาจากโรงพยาบาลศิริราช
2. การเก็บเซลล์จากข้างดีมาใช้ในการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) จะเกิดแผลเพียงเล็กน้อยและหายในเวลา 3 – 4 วัน เหลือเพียงแผลเป็นจาง ๆ และ ไม่มีผลต่อการมองเห็น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก si.mahidol