สเต็มเซลล์ เป็นชื่อสร้างปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ให้ความหวังว่าจะสามารถรักษาโรคได้ทุกโรค มันเป็นชื่อของสิ่งมหัศจรรย์ในโลกยุคใหม่ ไม่แปลกที่ไม่นานต่อมา สเต็มเซลล์ จะกลายเป็นเชื่อของสิ่งวิเศษที่สามารถเสริมความงาม กระชากวัย จนมีข่าวว่า ดาราหลายคนบินรัดฟ้าไปฉีดสเต็มเซลล์ที่ดึงเอาความเยาว์วัยกลับมากันหลายคน
สเต็มเซลล์ ในปัจจุบัน
สเต็มเซลล์ หรือ เซลล์ ต้นกำเนิดเป็นชื่อที่ สั่นสะท้านวงการ แพทย์ ด้วยความหวังที่ว่ามนุษย์ จะนำไปรักษาโรคที่รักษาไม่ได้หลายชนิด เพราะ โรคภัยไข้เจ็บของ มนุษย์ ที่รักษาไม่ได้นั้น ส่วนหนึ่ง เกิดจากการที่ เซลล์ ของ เนื้อเยื่อ มนุษย์บางชนิดเมื่อตายไป แล้วร่างกายไม่ สามารถ สร้างใหม่ได้ เช่น สมอง หัวใจ ดังนั้นการค้นพบ สเต็มเซลล์ จึงเป็นเสมือนการค้นพบแหล่งสร้าง เซลล์ ชนิดที่ต้องการเพื่อนำไป พัฒนาเป็นการ รักษาต่อไป
สเต็มเซลล์ รักษาโรคได้ทุกโรคเลยเหรอ
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมางานวิจัยทางด้าน สเต็มเซลล์ มีความก้าวหน้าอย่าง รวดเร็วมาก ทำให้เกิด ความหวังกับนักวิทยาศาสตร์ การแพทย์ที่ จะหาแนวทางรักษาโรคที่ใน ตคิดกันว่า ไม่มีทาง รักษา ได้แน่นอน ผศ.ดร.นพ.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา หัวหน้าศูนย์วิจัย เซลล์ต้นกำเนิด และ เซลล์บำบัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เห็นถึงความเป็นไปได้ของความฝันที่จะมีการนำ สเต็มเซลล์ มาใช้ในทางการ แพทย์ อย่างกว้างขวางใน อนาคต แต่อย่างไรก็ดียังมีสิ่งที่บุคคลทั่วไปเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ สเต็มเซลล์ ปัจจุบันโรคที่ใช้ สเต็มเซลล์ รักษาได้จริงยังมีจำกัดไม่กี่ โรค ถึงนำไปสร้าง เซลล์ ที่ต้องการได้ใน หลอดทดลอง ก็ไม่ใช่ว่าฉีดเข้าไปใน ร่างกาย แล้วจะ เกิดประโยชน์ ในทางตรงข้ามกันการนำไปใช้อย่างไม่ เหมาะสมก็ทำให้เกิด อันตรายได้ ยังมี รายละเอียด อีกมากที่ยังต้อง ศึกษา เพื่อให้ เกิดประโยชน์ จริง และลดอันตราย ต่อผู้ป่วย ที่แน่ๆคือยังก้าวไม่ถึงจุดที่จะ สามารถรักษา โรคได้ทุกโรคตามที่หลายคนในสังคมเข้าใจ เพราะ สเต็มเซลล์ นั้นจริงๆแล้วมี หลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน นำไปใช้ สร้างเซลล์ ของเนื้อเยื่อ คนละชนิด มีประโยชน์ และ โทษแตกต่างกันเมื่อนำไปปลูกถ่ายตัวอย่างง่ายๆคือ สเต็มเซลล์ ของเลือด ก็สร้างเฉพาะ เซลล์เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง สเต็มเซลล์ ของสมองก็สร้างเฉพาะเซลล์ ประสาท และ เซลล์ เยื่อหุ้มประสาทเป็นต้น ส่วน สเต็มเซลล์ ที่สร้าง เซลล์ ร่างกายได้ทุกชนิดมีเพียง สเต็มเซลล์ ตัวอ่อน ( human embryonic stem cells ) ซึ่งยังต้องวิจัยพัฒนาอีก 5-10 ปี ก่อนคนไข้ทั่วไปจะมีโอกาสได้ใช้
สเต็มเซลล์รักษาอะไรได้บ้าง
หัวหน้าศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิด และ เซลล์บำบัด เผยว่าการใช้ สเต็มเซลล์ ในการรักษาโรค อย่างมีมาตรฐานนั้นในประเทศไทยนับเพียง สเต็มเซลล์ เลือด จากไขกระดูก หรือสายสะดือทารก)สำหรับโรคเลือดเท่านั้น ในต่างประเทศ บางแห่งการเพาะและ ปลูกถ่าย สเต็มเซลล์ ผิวหนัง และ กระจกตา เป็นการรักษามาตรฐาน แต่เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงมาก ทำให้ในทางปฏิบัติมีการ ใช้ในยุโรปบางประเทศเท่านั้น โรงเรียนแพทย์ของไทย มีการพัฒนาเทคนิคดังกล่าว แต่ยังเป็นโครงการวิจัยไม่ใช่การรักษามาตรฐาน แต่ความ ก้าวหน้าในการวิจัยสเต็มเซลล์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ล่าสุดกับงานวิจัยที่คว้ารางวัลโนเบลของศ.ชินยะ ยามานากะ ค้นพบวิธีการการนำเซลล์ชนิดใดก็ได้ในร่างกายมนุษย์มาทำให้กลายเป็นเซลล์ไอพีเอส iPS technology ( Induced Pluripotent Stem cell ) ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนสเต็มเซลล์ตัวอ่อน ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์ใดก็ได้ในร่างกาย เนื่องจากเป็นเซลล์ของตัวผู้ป่วยเองจึงมีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาการรักษาใหม่ ที่น่าจะสามารถใช้เป็นการรักษาแบบมาตรฐานได้ในเร็วๆ นี้
แล้วเรื่องผิวพรรณ ความงามหละ
จากกระแสข่าว ที่พบว่า มีดาราพากันไปฉีดสเต็มเซลล์เพื่อหวังผลด้านความสวยความงาม ตั้งแต่การฉีดสเต็มเซลล์จากแกะในราคา 6-7 หลักเลยทีเดียว และถึงแม้ราคาสูงขนาดนี้ ก็ยังมีผู้สนใจจำนวนมาก และแถมต้องบินไปฉีดกันถึงเยอรมนี แต่การใช้สเต็มเซลล์ในความเข้าใจที่ผิดนั้นมีอยู่มากมาย อย่างการฉีดสเต็มเซลล์ ที่เป็นเซลล์สดของสัตว์เพื่อใช้ในด้านความงามนั้น หัวหน้าศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิด และเซลล์บำบัด เผยว่า นอกจากจะมีวิธีการที่ยุ่งยาก ต้อง match cell ต้องตรวจร่างกาย ต้องตรวจเลือด และจริงๆ แล้วการฉีดเซลล์ของสัตว์เข้ามาในร่างกายนั้นอาจไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะปัจจุบันก็ยังไม่มีสถาบันใดๆ ที่กล้าออกมายอมรับเรื่องนี้ อย่าง 100% ทั้งที่ทั่วโลกก็ฉีดกันทุกวัน ด้วยข้อจำกัดและความยุ่งยากดังกล่าว ในปัจจุบันจึงมีบริษัทยุโรป หลายๆ ที่สกัดสเต็มเซลล์ ออกมาแบบพร้อมใช้คือสามารถฉีดได้เลย ไม่ต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิที่กำหนด ไม่ต้องครวจเลือด ไม่ต้อง match cell ซึ่งทำให้การฉีดสเต็มเซลล์ยิ่งนิยมกันไปใหญ่ เพราะก็ไม่ต้องบินไปฉีด ไกลถึงต่างประเทศ และแถมราคายังลดลงอีกเยอะ จาก 7 หลักก็เหลือเพียง 6 หลัก แถมเป็น 6 หลักต้นๆ ด้วยครับ แต่ทางทีมศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิด และเซลล์บำบัด มีความเห็นว่าส่วนที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นนั้น อาจมีการฉีดสารด้านความงานอื่นๆ เข้าไปร่วมด้วยมากกว่า และสารเหล่านั้นน่าจะทำงานผสมผสานกับสเต็มเซลล์ (ที่อาจไม่ได้มากมายอะไร) แล้วช่วยให้ผิวพรรณดูดีขึ้น จึงเกิดความนิยมขึ้นในปัจจุบัน
สเต็มเซลล์แบบสกัดนี้ มันช่วยอะไรได้บ้าง
ช่วยซ่อมแซมเซลล์ ที่เสท้อมสภาพ ให้กลับมาสมบูรณ์ แข็งแรง
1.ต่อต้านความชราของร่างกายโดยรวม
2.ผิวพรรณเปล่วปลั่ง
3.ปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
4.ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
5.การนอนหลับเต็มอิ่ม หลับลึก หลับนานขึ้น
อายุเท่าไรสมควรจะฉีดสเต็มเซลล์
คำถามนี้ ตอบง่ายๆ คือ ไม่เกี่ยวกับอายุครับ ร่างกายเริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุ 20 จริงๆ แล้วอายุที่เรานับๆ กันตามปี ก็ไม่ตรงกับอายุร่างกาย หรืออายุเซลล์ ตอนนี้เรามีเครื่องสแกนด้วยระบบไฟฟ้า ระบบแม่เหล็ก รวมถึงการตรวจเลือด สามารถบอกอายุคร่าวๆ ของเซลล์อวัยวะได้ และบอกพยากรณ์คร่าวถึงโรคอนาคตได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นอยู่ที่ความพอใจมากกว่า แต่ของพวกนี้ บำรุงตั้งแต่มันเสื่อมน้อยๆ ก็ย่อมดีกว่าครับ
สเต็มเซลล์มีอันตรายไหม
ทุกอย่างไม่มีคำตอบ 100% อาจจะมีอาการแพ้ได้ ถ้าบังเอิญคุณแพ้สารประกอบสักตัวในนั้น มันก็อันตราย ร่างกายมีสิทธิ์จะไม่รับ ต้องย้ำอีกว่าสเต็มเซลล์ไม่ใช่ยาวิเศษ ไม่ใช่ว่าทุกคนฉีดแล้วจะดี หรือถ้าคนอื่นฉีดแล้วดี ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะดีเหมือนคนอื่นๆ ครับ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก thefaceaesthetic